ต้นกำเนิดแหล่งเดียวกัน: เราสามารถรับประทานเจลาตินแทนคอลลาเจนได้หรือไม่?

นักเขียน
Gloria Fung
ต้นกำเนิดแหล่งเดียวกัน: เราสามารถรับประทานเจลาตินแทนคอลลาเจนได้หรือไม่? image

อุตสาหกรรมความงามในปัจจุบันก้าวข้ามเรื่องสารออกฤทธิ์ ความนิยมผิวขาวกลายเป็นเรื่องล้าสมัย แล้วเริ่มหันมาให้ความสนใจในด้านการชะลอวัยมากขึ้น

คอลลาเจนมีส่วนในการสร้างความเยาว์วัยและความยืดหยุ่นให้กับผิว บทวิจัยรายงานว่า ร่างกายของเราชะลอการผลิตคอลลาเจนเมื่่อถึงอายุ 25 ปี ผลิตภัณฑ์ความงามหลายประเภทจึงนิยมใส่คอลลาเจนเพื่อให้ผู้บริโภคลดรอยเหี่ยวย่นบนร่างกาย 

นอกจากคอลลาเจนจะมีผลต่อผิวแล้ว ยังเป็นสารหล่อลื่นในข้อต่อ, กระดูกอ่อน, เนื้อเยื้อ, ผม และกระดูกอีกด้วย 

จากการวิจัยของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ด ที.เอช. ชาน ระบุว่าคอลลาเจนสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นผิวรวมไปถึงดูแลกระดูกและข้อต่ออีกด้วย

โดยคอลลาเจนส่วนใหญ่สกัดมาจากวัว, ปลาและเปลือกไข่ถือเป็นคอลลาเจนประเภทที่ 1-3 ซึ่งหลังจากรับประทานคอลลาเจนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ช่วยให้ผม, ผิว, เล็บ, กระดูกและข้อต่อดีขึ้น ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจึงระบุให้รับประทานคอลลาเจนอย่างน้อย 15-20 กรัมต่อวัน โดยใส่ในเครื่องดื่มและซุป

ต้นกำเนิดเดียวกัน รสชาติและการใช้ประโยชน์ต่างกัน

เจลาตินที่ใช้ทำเยลลี่ ทำมาจากปลาหรือวัว โดยมีต้นกำเนิดมาจากคอลลาเจน โดยในเจลาตินประกอบด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน

เจลาตินต้องใช้ความร้อนในการประกอบอาหารถึงสามารถรับประทานได้ ไม่เหมือนคอลลาเจนที่สามารถละลายได้ในน้ำ เพราะเจลาตินคือคอลลาเจนที่แยกตัวออกมา โดยมีเ้าหมายในการดูแลผิว, ผมและเล็บ

คอลลาเจนส่วนใหญ่ผสมกับวิตามิน C หรือเครื่องดื่มประเภทต่างๆ คล้ายคลึงกันกับกรดไฮยาลูรอนที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว 

ถ้าคุณรับประทานวิตามิน C ทุกวัน คุณจะได้รับประโยชน์เช่นเดียวกันกับรับประทานเจลาตินหรือรับประทานคอลลาเจนพร้อมอาหารอื่นๆ แต่คุณรับประทานเจลาตินผงเปล่าๆจะมีกลิ่นคาวปลา ส่วนคอลลาเจนผงจะไม่มีกลิ่นและรส จึงสามารถผสมกับอาหารและเครื่องดื่มประเภทอื่นได้