การได้สวมชุดของทีมรัก ลงเล่นพร้อมกับนักเตะที่ตัวเองชื่นชอบ น่าจะเป็นความฝันของใครหลายคน เช่นกันกับ คาร์ล พาวเวอร์ ที่เป็น แฟน แมนฯ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่เด็ก
เขาได้ลงสนามให้ ปีศาจแดง ในเกม แชมเปียนส์ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 2001 ติดเพียงอย่างเดียวคือ เขาไม่ได้เป็นผู้เล่นที่เพิ่งย้ายมา หรือแข้งดาวรุ่งที่เพิ่งถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ อันที่จริง เขาไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพด้วยซ้ำ
และนี่คือเรื่องราวของการเนียนลงสนามที่ลือลั่นที่สุดในโลกฟุตบอล ติดตามไปพร้อมกัน
นักเตะคนที่ 12
เหตุการณ์นี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2001 เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องบุกไป เยือน บาเยิร์น มิวนิค ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่ 2
มันเป็นเกมที่เหล่าผู้เล่นปีศาจแดงกำลังตั้งสมาธิกับเกมที่อยู่ตรงหน้า เพราะนัดแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด พวกเขาพ่ายมาก่อน 0-1 ที่ทำให้ต้องยิงให้ได้อย่างน้อย 1 ประตูในเกมนี้
ในระหว่างที่ผู้เล่น ยูไนเต็ด กำลังถ่ายรูปก่อนเริ่มเกม กลับมีนักเตะไม่คุ้นหน้ามาอยู่ในเฟรม เขาตัดผมทรงสกินเฮด ยืนอกผาย แขนยืดตรง อยู่ข้างกับ แอนดี้ โคล

เขาคนนี้ไม่ได้เป็นนักเตะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งซื้อมา ไม่ได้เป็นดาวรุ่งที่เพิ่งถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และไม่ใช่นักเตะอาชีพด้วยซ้ำ เพราะเขาคือ คาร์ล พาวเวอร์ ที่กำลังทำภารกิจพิเศษ
“เขา (แกรี เนวิลล์) ชี้มาที่ผม แล้วพูดว่า ‘นั่นใครวะ?’ ผมก็บอกกับเขาไปว่า 'หุบปากแกรี่ นายปากโป้งไปแล้ว ผมกำลังทำสิ่งนี้เพื่อคันโตนา’” พาวเวอร์ กล่าวกับ The Guardian
เขาคือผู้เล่นคนที่ 12 ที่ปรากฏตัวในภาพประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับการที่สามารถเนียนลงมาถ่ายภาพกับทีมโดยที่ไม่มีใครเอะใจ
ว่าแต่เขาทำมันได้อย่างไร โดยที่ไม่โดนจับได้?
จุดเริ่มต้นความบ้า
อันที่จริงต้นตอของภารกิจสุดระห่ำนี้ มีที่มาจาก ทอมมี ดันน์ เพื่อนของเขา พาวเวอร์ ที่อยากส่งกำลังใจให้ พาวเวอร์ ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจนเกือบเดินไม่ได้ จากการถูกทำร้าย
เขาสัญญากับ พาวเวอร์ ว่าถ้าตั้งใจทำกายภาพบำบัด เขาจะพาไปสัมผัสบรรยากาศของฟุตบอลยุโรป ในเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมรักของ พาวเวอร์ลงเตะ
ทว่า การพาไปสัมผัสบรรยากาศของ ดันน์ ไม่ใช่การตีตั๋วไปชมเกมบนอัฒจันทร์ แต่เป็นขั้นที่เหนือกว่านั้น นั่นคือการลงไปถ่ายรูปพร้อมกับผู้เล่นปีศาจแดง ในสีเสื้อของทีมรัก พาวเวอร์
ดันน์ วางแผน และเตรียมพร้อมข้อมูล โดยเฉพาะสีเสื้อที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะใส่ในเกมนัดนั้น แล้วถึงวันจริง เขาก็พา พาวเวอร์ เข้าสนามด้วยบัตรนักข่าวปลอม ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเคยใช้มาก่อน ตอนแอบเข้าไปดูเกมใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด
“เราวางแผนราวกับยุทธการทางทหาร และเอาชุดของ ยูไนเต็ด มาด้วยถึง 3 ชุด คือ แดง ขาว และน้ำเงิน” พาวเวอร์กล่าวกับ The Sun เมื่อปี 2001
“เราก็รู้ว่าทีมพักอยู่ที่ไหน และเราก็ได้คุยกับผู้อำนวยการคนหนึ่งของพวกเขา ที่บอกว่าเราว่าเขาจะสวมชุดสีอะไร”
“จากนั้นเราก็กลับมาซ้อมอีกครั้งที่โรงแรม เราเรียกแท็กซี่ไปสนาม แล้วแสร้งว่าเราเป็นทีมงานของฝ่ายทีวี คนคุมประตูจึงปล่อยเราเข้าไป เราลงไปที่ข้างสนาม แล้วรอจนกว่านักเตะจะออกมาจากอุโมงค์"

จากนั้นเมื่อถึงเวลาก่อนคิกออฟ เขาก็ให้ พาวเวอร์ ที่เปลี่ยนชุดเหมือนผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด แล้วเนียนลงไปถ่ายรูป ก่อนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
“ประมาณ 20 นาทีก่อนเขี่ยบอล เราเห็นช่องโหว่ที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล เราจึงเดินไปรอบๆลู่วิ่ง แล้วไปอยู่หลังโกล เรานั่งใกล้ๆ ช่างภาพ เห็นพวกเขากำลังอบอุ่นร่างกาย” พาวเวอร์อธิบาย
“จากนั้นพอทีมเดินออกไป ผมก็เดินไปที่แถวประตูเข้าไปห้องแต่งตัว ตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่าไม่มีอะไรจะหยุดผมได้”
ภาพเปลี่ยนชีวิต
หลังเกมวันนั้น ภาพนี้ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก ขณะที่ The Sun สื่อชื่อดังของอังกฤษพาดหัวว่า “WHO'S THAT MAN U ?” และทำให้ พาวเวอร์ กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน
เขาได้รับการติดต่อจากสื่อมากมายเพื่อขอสัมภาษณ์ แถมยังถูกขอลายเซ็นจากแฟนบอลปีศาจแดง ราวกับเป็นนักเตะอาชีพจริงๆ
ลุ้นโบนัส 150% สมาชิกใหม่รับ 11,240 บาท เมื่อเริ่มทายผล คลิกที่นี่
“มันยังคงเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผมจนถึงวันนี้” พาวเวอร์ กล่าว
ทว่า พาวเวอร์ และ ดันน์ ก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังคงปลอมตัวเพื่อแอบเข้าสนามอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปลอมตัวเป็นนักคริกเก็ต เพื่อลงไปตีให้ทีมชาติอังกฤษ ,ปลอมตัวเป็นนักรักบี้ลงสนาม หรือที่โด่งดังสุด คือการเป็นนักเทนนิส ลงไปตีบนคอร์ทหญ้าในศึก วิมเบิลดัน

แต่หลายคนก็ไม่ได้ชอบกับพฤติกรรมของเขา หลายคนมองว่ามันคือการรบกวนการแข่งขัน และอาจทำให้สวัสดิภาพของนักกีฬาไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้ เขายังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกหลายครั้ง รวมถึงเสียค่าปรับเป็นจำนวนมาก จากการกระทำเหล่านี้ แถมในปี 2003 เขายังถูกแบนห้ามเข้า โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตลอดชีวิต หลังบุกลงไปในสนามก่อนเกม แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล
สุดท้าย ทั้งคู่ก็เลิกทำแบบนั้น และแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง โดย ดันน์ ไปเปิดช่อง Youtube ที่ชื่อว่า Trollstation ที่มีผู้ติดตามถึง 1.4 ล้านคน ขณะที่ พาวเวอร์ ก็เปิดสตูดิโอ ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่วัยรุ่น
อย่างไรก็ดี พาวเวอร์ ก็ไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่เคยทำในอดีต และมองว่ามันคือประสบการณ์ชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ทำไปเพราะความสนุก ก็เท่านั้นเอง
“ไม่เลย ผมแค่สนุกเท่านั้น ผมแค่คิดว่าทุกอย่างมันน่าสนุก ก็เท่านั้นเอง ผมก็เลยทำมันอีกครั้ง เราแค่พิสูจน์ว่าเราสามารถทำได้ และนั่นคือเหตุผลที่เราทำมัน” พาวเวอร์ กล่าวกับ One Show เมื่อปี 2016